การออกงานแสดงสินค้าเป็นกลยุทธ์หนึ่งในการประชาสัมพันธ์แบรนด์ให้เป็นที่รู้จักและชื่นชอบในกลุ่มเป้าหมาย ผ่านการพูดคุย ทดลอง สัมผัสสินค้าได้จริง อีกทั้งลูกค้ายังสอบถามข้อมูลได้ทันที ทำให้ผู้ประกอบการได้รับทราบถึงทัศนคติลูกค้าที่มีต่อแบรนด์ และที่สำคัญยังได้มีโอกาสสังเกตคู่แข่ง ว่ามีการพัฒนาการไปถึงไหน มีข้อเด่น ข้อด้อยอย่างไร เมื่อเปรียบเทียบกับสินค้าและบริการของคุณ

เลือกงานแสดงสินค้าได้ดี มีชัยไปกว่าครึ่ง

เคล็ดไม่ลับในการจับลูกค้าในการออกงานแสดงสินค้า ประการแรกสุด คุณต้องเลือกงานแสดงสินค้าที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการ และเป็นงานที่ได้รับความสนใจมาโดยตลอด มีการประชาสัมพันธ์เป็นอย่างดี ประสบความสำเร็จในด้านชื่อเสียงและจำนวนผู้เข้าชม จากนั้นจึงเลือกตำแหน่งของพื้นที่ตั้งบูธให้เหมาะสม หากเป็นไปได้ให้ขอดูว่าภายในงานมีแบรนด์ใดจับจองพื้นที่ ณ จุดใดอยู่ก่อนแล้วบ้าง เพราะชัยภูมิเหมาะก็ไม่จำเป็นต้องไปตั้งประชิดติดกับคู่แข่ง

ออกแบบบูธให้โดดเด่นสะดุดตา

ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าคุณมีงบประมาณมากขนาดไหน ความท้าทายอยู่ตรงที่ว่า หากคุณมีงบประมาณจำกัดแค่พอเช่าบูธทั่วๆ ไป ในบูธก็จะมีโต๊ะให้ 1 ตัว เก้าอี้ให้ 2 ตัว คุณจะตกแต่งอย่างไรให้สามารถดึงดูดลูกค้าได้ดีที่สุด หรือจะทำอย่างไร ให้พื้นที่ขนาดเล็กๆ แห่งนี้ อบอุ่นและดึงดูดเพียงพอให้ลูกค้าอยากมีปฏิสัมพันธ์ด้วย ยิ่งมีงบน้อย ยิ่งต้องคิดเยอะๆ นะ

ลูกค้าที่มางานทั่วไปมีกี่ประเภท

1. กลุ่ม A คือ ตั้งใจไปหาข้อมูลเพื่อนำมาประกอบการตัดสินใจในการดำเนินธุรกิจ หรือหาคู่ค้าพันธมิตร
2. กลุ่ม B คือ ต้องการหาข้อมูลเบื้องต้น  เพื่อใช้เป็นประโยชน์ในอนาคต
3. กลุ่ม C คือ มาเดินเล่น เห็นอะไรที่จูงใจอยากซื้อจึงเข้าไป ไม่ได้มุ่งมองหาช่องทางธุรกิจ

ไม่ว่าลูกค้าจะเป็นกลุ่มใดก็ตาม หน้าที่ของคุณคือดึงดูดลูกค้าที่ใช่ให้ได้มากที่สุด เพื่อให้การออกบูธทุกครั้งคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายออกไป

ก่อนเริ่มงาน

  1. ตั้งโจทย์ที่ชัดเจน และแจ้งกับทีมงานที่เกี่ยวข้องเพื่อทราบถึงเป้าหมายร่วมกัน ว่าการไปงานแสดงสินค้าเพื่ออะไร เพื่อแนะนำผลิตภัณฑ์ สร้างตัวแทนจำหน่าย ขายสินค้า แสดงศักยภาพขององค์กร หรือทุกๆ ข้อรวมกัน
  2. เตรียมอุปกรณ์ประกอบที่ตอบโจทย์ดังกล่าวไปให้พร้อมและพอเพียง เช่น แคตตาล็อก โบรชัวร์ นามบัตร ใบกรอกข้อมูล แบบสอบถาม ของที่ระลึกที่จะทำให้ลูกค้าจดจำและชื่นชอบแบรนด์ของเรา รวมไปถึงสื่อประเภทมัลติมีเดีย หรือคลิปวิดีโอ ที่จะช่วยพูดแทนคุณได้ดี
  3. เตรียมบุคลากรที่ทำหน้าที่ต่างๆ ตั้งแต่ เจ้าของ ผู้จัดการ ฝ่ายสมาชิก พรีตตี้ เอ็มซี แต่ละคนต้องเข้าใจวัตถุประสงค์ของงาน มีทักษะในการพูดคุยกับลูกค้า สามารถโต้ตอบ วิเคราะห์ความต้องการ เตรียมการณ์สำหรับตอบคำถามประเภทต่างๆ ได้อย่างดี
  4. แจ้งข่าวไปยังกลุ่มเป้าหมายทั่วไปผ่าน Social Media Platform เช่น ทำ Event บน Facebook ทำคลิปวิดีโอ ทำ Banner ทั้งหมดจะต้องสะท้อนคาแรคเตอร์ของแบรนด์ที่จูงใจแฟนๆ และจุดที่น่าสนใจ อะไรคือสิ่งที่ทำให้ลูกค้าตั้งใจมาหาคุณในงาน อย่าลืมระบุตำแหน่งที่ตั้งของบูธให้ชัดเจน สำหรับลูกค้าเดิมหากมีอีเมลอยู่ ก็ต้องส่งจดหมายเชิญให้ทั่วถึง

ในระหว่างงาน

เชิญชวนให้ชิม หรือทดลองใช้สินค้า เพื่อหาโอกาสให้มีการพูดคุยกับลูกค้า พยายามขอนามบัตรหรือข้อมูลติดต่อ และประมวลผลให้ได้อย่างรวดเร็วว่าเป็นลูกค้ากลุ่มไหน ระหว่าง กลุ่มที่ต้องรีบติดต่อกลับโดยเร็ว (มีความสนใจเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และการร่วมธุรกิจเป็นอย่างมาก) กลุ่มที่ควรติดต่อกลับแต่ไม่ด่วน (มีแนวโน้มสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ หรือเข้าร่วมธุรกิจ แต่ต้องการข้อมูลเพื่อพิจารณา) กลุ่มลูกค้าที่ควรรักษาไว้ในฐานะผู้สนใจในอนาคต

สิ่งสำคัญที่สุดคือพฤติกรรม และความใส่ใจของทุกคนที่อยู่ในบูธ การนั่งพูดคุยกันเอง ไม่สนใจลูกค้า รับประทานอาหาร นั่งเล่นโทรศัพท์มือถือ เหล่านี้คือพฤติกรรมทั้งหมดที่จะทำให้คุณเสียลูกค้า อย่าทำหน้าเบื่อๆ อย่าง่วงนอน ทำตัวให้สดชื่นยิ้มแย้มแจ่มใส

และถ้าเป็นไปได้ อย่ารีบปิดบูธก่อนคนอื่น เพราะบางทีลูกค้าเพิ่งจะเลิกงาน มีเวลามาเดินน้อย บูธที่ยังรอลูกค้าอยู่เป็นลำดับท้ายๆ อาจจะได้มีโอกาสเก็บลูกค้าท้ายตลาดอีกด้วย

หลังจบงาน



1. สรุปผลการออกงานแสดงสินค้าในแต่ละครั้ง ว่าประสบความสำเร็จมากน้อยเพียงไร เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้หรือไม่ มีอะไรที่สมควรนำมาปรับปรุงในครังหน้า
2. ดำเนินการติดต่อลูกค้าตามที่ได้แบ่งกลุ่มไว้แล้ว เพื่อให้เกิดการตัดสินใจ หรือสร้างความสัมพันธ์ต่อไปในอนาคต