ธุรกิจเกี่ยวกับสุขภาพเป็นธุรกิจที่เป็น Mega Trend ขบสนรถไฟฟ้าความเร็วสูงที่ใคร ๆ ก็ต่างมองตาเป็นมัน อยากจะกระโดดขึ้นรถไฟขนวนนี้

ในขณะที่หลายคนก้าวกระโดดขึ้นมาบนรถไฟที่เชื่อว่าเป็นรถไฟ Mega Trend แต่กลับไม่พบว่ารถไฟขบวนนี้ไปสู่จุดหมายปลายทางที่ตั้งความหวังเอาไว้ กลับกลายเป็นรถไฟนำไปสู่ความ “ล้มเหลว” หลายต่อหลายคนเงินทองมากมาย ขณะเดียวกันหลายคนก็กำลังยืนอยู่ตรงปากเหว จะเดินหน้าก็ตก จะถอยหลังก็เจ็บ เงินลงไปก็ได้ผลิตภัณฑ์มากมายมากองเต็มสต๊อกที่บ้านหรือออฟฟิต

ทำไมหลายคนทำธุรกิจอาหารเสริมแล้ว เจ๊ง !!! เป็นคำถามที่น่าจะค้างคางใจหลายคน รวมถึงคนที่กำลังจะก้าวเท้าเข้ามาขึ้นบนรถไฟขบวนนี้ กังวลว่าตัวเองจะเป็น โชคดีขึ้นรถไฟถูกขบวน หรือ โชคร้ายขี้นผิดขบวนกันแน่

ผมมีโอกาสได้คุยกับ เภสัชกร พงษ์ศักดิ์ สง่าศรี ซึ่งเป็นที่ปรึกษาให้กับธุรกิจอาหารเสริมหลายแบรนด์ รวมทั้งทำค้นคว้างานวิจัยต่าง ๆ ทั้งภายในและประเทศ ได้ให้คำตอบเกี่ยวกับประเด็นนี้ไว้พอสรุปได้ดังนี้ครับ

เหตุผลที่คนทำธุรกิจอาหารเสริมแล้วเจ๊ง !!

1.Mind Set ที่ผิด

คือ มองกันแค่เรื่องผลประโยชน์ที่เห็นว่าน่าจะทำรายได้ให้สูง ไม่ได้ศึกษาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสินค้าว่าสินค้ากลุ่มไหนตลาดเป็นอย่างไร มีความต้องการมากน้อยขนาดไหน ตัววัตถุดิบที่นำมาเป็นส่วนผสมมีคุณสมบัติอะไร อย่างไร มีงานวิจัยอะไรอ้างอิงมากน้อยขนาดไหน

โดยรวมคือ ไม่ได้เข้ามาในธุรกิจเพราะความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับธุรกิจและสินค้า มองแค่เรื่องกำไร รายได้ พอเข้ามาก็กลายเป็นว่าขาดทุน เพราะเริ่มธุรกิจผิดตั้งแต่ต้น

2.ลงทุนไม่เหมาะสม เลือกสินค้าผิด

เมื่อไม่เข้าใจธุรกิจจริง ๆ ก็เลือกลงสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ตามกระแส ทำแบรนด์ตามที่โรงงานผลิตสินค้าชี้นำ ทำให้เกิดสินค้าประเภทเดียวกันแข่งขันกันเต็มตลาด คุณภาพของผลิตภัณฑ์หลายต่อหลายตัวก็ไม่ได้มาตรฐานตามที่ลูกค้าต้องการ

เมื่อสินค้าด้อยคุณภาพ คนลงทุนด้อยประสบการณ์ ทำให้ธุรกิจโดยส่วนใหญ่จึงมักจะพังไปกันอย่างที่เห็น

3.ทำการตลาดผิดวิธี

ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับสุขภาพโดยส่วนใหญ่ในทุกวันนี้แข่งขันกันที่ราคา แข่งกันที่การโชว์ความไว เช่น ขาวไว หน้าใสไว ขนาดอวัยวะบางส่วนใหญ่ขึ้น ฯ ทำให้เกิดตลาดมันบิดเบี้ยวไป แต่ที่จะเป็นการทานอาหารเสริมเพื่อบำรุงร่างกาย ป้องกันปัญหาเกี่ยวกับโรคบางอย่าง กลายเป็นว่านำมาทำตลาดเพื่อกระตุ้นให้คนเกิดความต้องการที่ก่อให้เกิดโอกาสความผิดปกติในร่างกายทับซ้อนเข้าไปอีก

หลายคนเลือกที่จะโชว์เนื้อหนังมังสา เพื่อนำมาเป็นเครื่องมือในการล่อใจให้คนไปซื้อสินค้านั้นมาลองทาน แน่นอนมันอาจจะได้ผลบ้าง แต่ท้ายที่สุดแล้วสินค้าตัวนั้นมันก็จะหมดอายุไปในระยะเวลาอันรวดเร็ว เป็นเรื่องน่าสงสารคนในประเทศนี้ที่โดนการตลาดปั่นหัว จนแทบจะหลงลืมความถูกต้อง ดีงาม จริยธรรมในการทำธุรกิจ

หลายคนนอกจะลงทุนเรื่องสินค้ากันเป็นแสนเป็นล้านแล้ว ยังต้องมาเสียค่าโฆษณากันอีกหลาย ๆ ล้าน ทำให้หมดเนื้อหมดตัวเพราะทุ่มงบให้กับเรื่องการตลาดแบบที่แข่งขันกันดิ้นตามกระแส ไม่ได้วางแผนทำเรื่องของคอนเทนต์ ให้ความรู้และสร้างธุรกิจในแบบที่ยั่งยืน

ที่ว่าเหล่านี้เป็นแนวทางการทำการตลาดที่ไม่น่าจะถูกต้องนัก แม้บางท่านจะสร้างธุรกิจได้ร่ำรวยจากการทำแบบนี้ แต่โดยส่วนใหญ่มักจะไปไม่รอดเพราะหางว่าวมันไม่ได้ยาว และ บวกลบคูณหารแล้ว ยอดขายหักลบค่าใช้จ่ายแล้วกำไรที่เหลือแทบจะไม่คุ้มที่จะลงทุน

4.ต่อยอดธุรกิจไม่ได้

อีกประเด็นของปัญหาที่ทำให้คนทำธุรกิจสุขภาพแล้วเจ๊งเพราะ ไม่สามารถที่จะต่อยอดธุรกิจของตัวเองได้ ติดกับดักว่า “รวยแล้วทำอะไรก็ได้” แต่ไม่ได้กลับมาจูนความคิดใหม่ว่าอะไรคือสิ่งที่ถูกต้องควรทำในเวลาที่เหมาะสม

เพราะคนที่ทำธุรกิจนี้อย่างน้อยก็ต้องมีเงินทุน 7 หลักอยู่ในมือแบบเย็น ๆ หากน้อยกว่านี้ก็ต้องเป็นแสนปลาย ๆ แหละ แค่พอมีเงินดันให้ขายสินค้าได้พอมีรายได้ แทนที่จะนำเงินมาต่อยอดธุรกิจ กลับกลายเป็นการซื้อทรัพย์สินมาโชว์อวดร่ำอวดรวย พอเจอกระแสนสินค้าตัวอื่นเข้ามาแทนก็ทำให้รายได้หาย ยอดขายตกไปตาม ๆ กัน

บางคนพอมีรายได้ก็ไม่รู้ว่าจะเดินเกมต่ออย่างไร จะผลักดันสินค้าตัวใหม่เข้าในตลาดเดิมที่มีหรือควรที่จะนำสินค้าเดิมไปหาตลาดใหม่ในประเทศเพื่อนบ้าน เก้ๆ กัง ๆ จนตลาดวาย ทำให้รายได้มันลดหดหายอีกเช่นกัน

4 ปัจจัยพื้นฐานทั้ง 4 ข้อนี้เป็นเหตุที่ทำให้คนทำธุรกิจอาหารเสริม “เจ๊ง” มานักต่อนักแล้วครับ ถ้าท่านเป็นผู้หนึ่งที่สนใจธุรกิจสุขภาพแล้วละก็ อยากให้ท่านได้ลองศึกษาหาความรู้ให้ชัดดูในมุมมืดของธุรกิจ อะไรบ้างที่อาจจะทำให้เราตกหลุมความผิดพลาด และพยายามมองหาพี่เลี้ยงที่จะเป็นเพื่อนคู่คิดมิตรร่วมเดินทางไปกับท่านนะครับ