สำหรับใครที่เคยผ่านถนนนครสวรรค์มุ่งหน้าสี่แยกจักรพรรดิพงษ์แล้ว คงจะเคยเห็นกลุ่มคนจำนวนหนึ่งถือถุงกล้วยทอดยืนขายอยู่ริมทาง นั่นคือภาพที่ชินตาของกล้วยทอดนางเลิ้งที่ผมจะพาทุกท่านมาดูประวัติความเป็นมาและแนวคิดในการทำธุรกิจกันครับ

เมื่อผ่านไปบนถนนสายไม่ยาวนัก ในเขตป้อมปราบศัตรูพ่ายที่เต็มไปด้วยร้านขายกล้วยทอดถึง 7 ร้าน ที่เรียงรายตลอดถนนสายสั้น ๆ เส้นนั้น หลายคนถึงกับอุทานว่า พระเจ้าช่วยกล้วยทอด!! กันเลยทีเดียว

กล้วยทอดฟีเวอร์

เมื่อคุณขับรถเลี้ยวเข้าสู่ถนนนครสวรรค์มุ่งหน้าถึงสี่แยกจักรพรรดิพงษ์ จนมาถึงสี่แยกหลานหลวง คุณก็จะพบเห็นภาพเบื้องหน้าที่เรียกว่า กล้วยทอดฟีเวอร์ ที่ผู้คนต่างจอดรถแวะซื้อกล้วยทอดเป็นระยะ จุดโฟกัสอยู่ที่พนักงานที่ใส่เอี๊ยมหลากสี อาทิ สีชมพู สีแดง สีขาว สีน้ำเงิน สีส้ม สีเขียวและสีม่วง เดินขายกล้วยทอดกันอย่างหนาตา จนเป็นเหตุให้ตำรวจจราจรในท้องที่ถึงกับต้องติดป้ายประกาศเตือนว่า ห้ามจอดรถซื้อกล้วยทอดบนถนน จากความเลื่องลือนี้เองที่มีการบอกกันปากต่อปากแก่ผู้ที่ชอบในการกินกล้วยทอดห้ามพลาดโอกาสในการแวะมาซื้อเด็ดขาด แม้แต่ดารานักร้อง ศิลปิน ไฮโซ ตลก ยันรัฐมนตรี ก็เป็นลูกค้ากล้วยทอดนางเลิ้งกันมาแล้วทั้งสิ้น

เริ่มต้นจากแม่กิมยุ้ย

ซึ่งจุดเริ่มต้นของกล้วยทอดนางเลิ้งก็เริ่มมาจากแผงขายกล้วยทอดเล็ก ๆ ในตรอกแคบ ๆ ใกล้สี่แยกจักรพรรดิพงษ์ เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย สำหรับผู้บุกเบิกก็คือ “แม่กิมยุ้ย” จากนั้นก็มี “แม่กิมล้ง” มาขายแทน โดยมีรสชาติความอร่อยอันเป็นที่เลื่องลือนานกว่า 40 ปี จนกระทั่งแม่กิมล้งได้เสียชีวิตลง ลูกสะใภ้และเครือญาติจึงได้แยกย้ายกันมาเปิดร้านขายกล้วยทอดเป็นของตัวเอง โดยต่างร่วมใจกันใช้คำว่า เจ้าเก่าดั้งเดิม จนเกิดคำถามว่าแล้วเจ้าไหนกันแน่ที่เป็นเจ้าดั้งเดิม

สำหรับเคล็ดลับความอร่อยนั้น จะใช้กล้วยห่ามคือไม่ดิบหรือสุก เพื่อว่าเวลาทอดจะได้กรอบและไม่อมน้ำมัน อีกทั้งยังมีรสชาติที่ไม่หวานจนเกินไป ในส่วนของวัตถุดิบที่เคลือบกล้วยนั้นสูตรจะแตกต่างกันไป โดยบางเจ้าอาจใช้กากมะพร้าวผสมงาขาว แต่บางเจ้าอาจใช้แต่แป้งบางเจ้าก็ใส่น้ำปูนใส เพื่อคงความกรอบหอมอร่อยลิ้นนั่นเอง

กล้วย 1 ลูก ฝานได้ประมาณ 3 ชิ้น นำไปคลุกกับส่วนผสม จากนั้นหย่อนลงในกระทะน้ำมันที่เดือดจัด เมื่อสีกล้วยเริ่มเปลี่ยนจะยกขึ้นพักไว้ จากนั้นจะนำกล้วยที่เหลือลงทอด จนสีใกล้เคียงกัน แล้วจึงนำกล้วยที่พักไว้ลงทอดพร้อมกันหมด เพื่อให้มีสีเหลืองที่สวยเท่ากัน ด้วยความที่กล้วยทอดทานง่าย รสชาติอร่อยถูกปากคนไทย วัตถุดิบหาซื้อได้ง่าย กล้วยทอดจึงได้รับความนิยมในการบริโภคมาก จึงไม่น่าแปลกใจที่มีร้านกล้วยทอดเกิดใหม่ให้เราเห็นเสมอ

เอี้ยมหลายสี มีให้เห็นทุกไฟแดง

การมีหลายเจ้าในแหล่งเดียวกันบนพื้นที่ถนนที่พื้นที่จำกัด การแข่งขันจึงเริ่มเข้มข้นขึ้น จากเดิมที่เคยขายแค่หน้าร้านให้คนเดินเข้ามาซื้อ เจ้าของร้านก็ต้องปรับกลยุทธ์การขายกันใหม่ โดยจ้างพนักงานขายกล้วยทอดส่งตรงถึงบานกระจกรถของลูกค้า โดยลูกค้าไม่ต้องจอดรถเดินลงมาให้เสียเวลาและทำให้การจราจรติดขัด เข้าทำนอง ใครเร็วใครได้ บางเจ้าก็ขยายตลาดโดยการให้พนักงานปั่นจักรยานไปขายที่แยกอื่น ๆ โดยแยกแยะตามสีเอี๊ยม หน้าร้านใครหน้าร้านมัน ลูกค้าถูกใจรสชาติไหนก็กวักมือเลือกเสื้อเอี๊ยมสีนั้น นอกจากนี้แล้วลูกค้าก็ควรเตรียมเงินให้พร้อมเพื่อความสะดวกรวดเร็ว ซึ่งมีทั้งกล้วยทอด เผือก มัน ข้าวเม่า ราคาถุงละ 20 บาท ซึ่งเทคนิคช่วยจำก็คือ นิ้วชี้ถึงนิ้วนางเป็นกล้วยทอด ส่วนนิ้วก้อยเป็นเผือกและข้าวเม่า ซึ่งคนขายจะต้องจำให้แม่นเพื่อจะได้หยิบให้ลูกค้าก่อนที่รถจะออกตัว

จากการขายตรงกล้วยทอดส่งผลให้การจราจรติดขัด เพราะประชาชนมัวแต่ลงมาซื้อกล้วยทอด ส่งผลให้ทางเขตป้อมปราบศัตรูพ่ายและสถานีตำรวจนครบาลนางเลิ้ง ต้องติดป้ายประกาศ ห้ามจอดรถซื้อกล้วยทอดบนถนน ฝ่าฝืนมีความผิดทั้งผู้ขายและผู้ซื้อ โดยผู้ซื้อจะโดนปรับไม่เกิน 500.-บาท ส่วนผู้ขายปรับไม่เกิน 2,000.-บาท ซึ่งร้านกล้วยทอดก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีโดยไม่ลงไปเดินเร่ขายบนท้องถนน แต่จะยืนตรงริมทางเท้าแทน เมื่อผู้ซื้อขับรถลดกระจกกวักมือเรียกตอนรถติดจึงค่อยวิ่งลงไปขาย แล้วกลับมายืนริมทางเท้าดังเดิม แต่ก็มีบางเจ้าเหมือนกันที่ยังคงเดินขายบนท้องถนนอยู่   

กล้วยทอดร้อยล้าน ทอดกันไม่ทันต้องใช้เครื่องจักร

ความจริงแล้วก็น่าภาคภูมิใจไม่น้อยที่กล้วยทอดแบบไทย ๆ จะกลายเป็นธุรกิจสร้างรายได้ให้แก่คนในพื้นที่ได้ แต่ก็น่าเสียใจอยู่เหมือนกันที่มีคนบางกลุ่มที่มุ่งแสวงหาผลประโยชน์จนเกินพอดี ทำให้เจ้าอื่นพลอยได้รับความเดือดร้อนไปด้วย ทำให้ ณ ปัจจุบันยอดขายกล้วยทอดที่เคยอู้ฟู้กลับค่อย ๆ โรยราลงอย่างรวดเร็ว เพราะแย่งลูกค้ากันเอง ซึ่งจากเดิมเคยขายได้กว่าวันละ 100 หวี ทำการทอดไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะหมด แต่ตอนนี้ยอดขายลดลงเหลือแค่วันละ 100 หวี ขายถึงเวลา 6 โมงเย็นก็หยุดแล้ว เจ้าของไม่อยากสั่งมาเยอะเพราะกลัวจะขายไม่หมด และอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญคือเรื่องของคุณภาพที่ลดลงจนผู้บริโภคสัมผัสได้ว่ากล้วยทอดนางเลิ้งไม่ได้อร่อยอย่างที่คาดหวังอีกต่อไป

กล้วยทอดนางเลิ้งให้แง่คิดในด้านธุรกิจได้เป็นอย่างดี หากธุรกิจขาดความคิดสร้างสรรค์ มุ่งแต่จะแย่งลูกค้า พยายามลอกเลียนแบบหรือทำตามคนที่ประสบความสำเร็จ จนขาดเอกลักษณ์ในด้านรสชาติ ความอร่อย และความน่ารักที่มาจากการขายของแม่ค้าเจ้าเก่าทำให้เสน่ห์ในการขายค่อย ๆ ลดลงและอาจหมดยุครุ่งเรืองไปในที่สุด

แง่คิดในการทำธุรกิจของกล้วยทอดนางเลิ้ง

1.ทำธุรกิจต้องอาศัยเวลา ทำให้มากพอ ให้นานพอ แล้วชื่อเสียงจะตามมาเอง

2.มีเอกลักษณ์ในการขาย โดยใช้เอี๊ยมสีเป็นตัวกำหนดว่าเป็นเจ้าไหนและรสชาติเป็นอย่างไร ลูกค้าสามารถเลือกซื้อกล้วยทอดเจ้าที่ตนพอใจ

3.มีการปรับกลยุทธ์ในการขายให้สอดคล้องกับกฎหมายบ้านเมืองไม่ดื้อแพ่ง เรียกว่าทำตามกฎก็ยังขายได้ ลูกค้าพอใจ

4.การเลียนแบบกันบางครั้งแทนที่จะรุ่งอาจร่วงได้เหมือนกัน ธุรกิจควรมีความคิดสร้างสรรค์สิ่งใหม่อยู่ตลอดเวลาและพัฒนาให้ดีขึ้น

5.ควรใส่ใจในคุณภาพของกล้วยทอด โดยเฉพาะในเรื่องของรสชาติที่จะต้องมีความอร่อยจนลูกค้าติดใจจนอยากกลับมาทานอีก

6.ควรคิดในเรื่องของการทำการตลาดไม่ให้ภาพการขายเดิม ๆ ที่เป็นเสน่ห์ของแม่ค้าเจ้าเก่าหายไป ซึ่งก็จะทำให้ลูกค้าหายตามไปด้วย

 

หากวันนี้ธุรกิจของคุณที่เคยทำยอดขายได้ดีกลับมียอดขายลดลง ก็ต้องมาทำการวิเคราะห์ว่าเกิดจากสาเหตุใด เมื่อรู้สาเหตุแล้วก็ควรได้มีการพัฒนาอยู่เสมอ เพื่อมิให้เกิดกรณีที่ว่ากว่าจะรู้ตัวก็สายเสียแล้ว สำหรับกล้วยทอดนางเลิ้งนั้นก็ยังดำเนินธุรกิจต่อเนื่องมาอย่างยาวนานจนเป็นที่รู้จัก และแน่นอนว่าเม็ดเงินในแต่ละวันก็มากพอดู ในยุคที่มีการแข่งขันเช่นนี้ไม่ว่าธุรกิจใดก็ไม่ควรตั้งอยู่ในความประมาท การพัฒนาอยู่สม่ำเสมอจะช่วยไม่ให้ธุรกิจล้มหายตายจากไปครับ